ความนิยมทองคำในอดีตนั้นมีให้เห็นจากหลายอารยธรรมเช่น ยุโรป อียิปต์โบราณ เอเชียตะวันตก และอินเดีย เพราะถือว่าเป็นโลหะที่มีค่าสูงและใช้เป็นเครื่องหมายแสดงความมีฐานะความสมบูรณ์พูนสุขและความยิ่งใหญ่ ส่วนอารยธรรมจีนโบราณนั้นไม่ได้ให้ความสำคัญกับทองคำมากไปกว่าเพื่อการตกแต่งเครื่องใช้เพื่อความสวยงามเท่านั้น ในวัฒนธรรมจีนหยกหรือสัมฤทธิ์เป็นของมีค่ามากกว่าทองคำเพราะชาวจีนเชื่อว่าหยกหรือสัมฤทธิ์ในเชิงสัญลักษณ์นั้นทำให้เกิดความเป็นสิริมงคลความสุขสงบความกล้าหาญนิยมใช้เป็นเครื่องประดับล้ำค่าของชนชั้นสูงในสังคมจีนรวมถึงเป็นเครื่องใช้สำคัญของจักรพรรดิในแต่ละราชวงศ์ส่วนทองคำนั้นเพียงใช้เป็นแค่เครื่องประดับเพื่อความสวยงามทั่วไปหรือเป็นส่วนประกอบในงานศิลปะเท่านั้น อีกทั้งจีนเป็นหนึ่งในผู้ริเริ่มระบบเงินตราของโลกในอดีตกว่า 2,000 ปีก่อนคริสตกาล โดยใช้หอยที่เรียกว่า ฮั่วเป้ย ในการแลกเปลี่ยนเพื่อชำระค่าสินค้า แตกต่างจากอาณาจักรบาบิโลนที่ใช้โลหะเงินแท่ง และจีนยังใช้เงินกระดาษ (Paper Money) หรือตั๋วแลกเงินเป็นครั้งแรกในโลกเมื่อกว่า 1,000 ปีมาแล้ว อีกด้วย(ตามที่เราได้เห็นมาในนวนิยายกำลังภายในนั้นมีจริง)โดยเกิดขึ้นในยุคสมัยของราชวงศ์ถัง ซึ่งต่อมามีการนำไปใช้อย่างแพร่หลายในยุโรปโดย มาร์โคโปโล พ่อค้าชาวเมือง เวนิส ประเทศอิตาลี นอกจากนี้ หลักฐานทางประวัติศาสตร์ระบุว่า มีการหล่อเหรียญทองคำ(Gold Coin) เหรียญแรกขึ้นในประวัติศาสตร์จีนในแคว้นฉู่ของเล่าปี่ เรียกว่า Chu Gold Block Money มีการใช้ทองคำมากขึ้นในยุคสงครามที่เรียกว่า Six Dynasties of China คือในช่วงของสมัยสามก๊ก จนถึงสมัยราชวงศ์เหนือ-ใต้ เพราะว่ามีการเผยแพร่พุทธศาสนาในจีน จึงใช้ทองคำสร้างเจดีย์ทองคำ พระพุทธรูปทองคำ เพื่อกราบไหว้บูชาในสมัยนั้นเป็นจำนวนมาก จีนได้ชื่อว่าเป็นแหล่งกำเนิดอารยธรรมมานานกว่า 5000 ปี และมีการสืบทอดต่อกันมาจนถึงปัจจุบัน ผ่านยุคที่รุ่งเรืองยิ่งใหญ่และยุคเสื่อมโทรมมานับครั้งไม่ถ้วนดังปรากฏในหน้าประวัติศาสตร์ จนถึงยุคศตวรรษที่ 21 นี้ จีนกำลังพลิกฟื้นประเทศให้กลับมาเป็นพญามังกรอีกครั้ง ด้วยอิทธิพลต่อประชาคมโลกทั้งในด้านเศรษฐกิจ เทคโนโลยี การเมือง และการทหาร