สถานการณ์การระบาดของไวรัสโคโรน่า -19 ที่เกิดขึ้นทำให้หลายธุรกิจปิดตัวลงและผู้คนตกงานจำนวนมาก คาดการณ์กันว่าเหตุการณ์นี้จะทำให้กำลังซื้อลดลง โดยเฉพาะสินค้าในกลุ่มฟุ่มเฟือยอย่างสินค้าหรู แบรนด์แนม และเครื่องประดับต่างๆ แต่ข้อกังวลนี้ใช้ไม่ได้กับกลุ่มลูกค้าชาวจีน เพราะทันทีที่รัฐบาลจีนปลดล็อคดาวน์ร้านค้าต่างๆ กลับมาเปิดให้บริการได้เมื่อวันที่ 11 เมษายน 2563 ยอดขายสินค้าแบรนด์เนมและเครื่องประดับก็ทำยอดขายได้ถล่มทลายทันที จีนเป็นตลาดหลักสำหรับสินค้าหรู ชาวจีนใช้จ่ายเงินซื้อสินค้าแบรนด์เนมคิดเป็นสัดส่วน 35% ของผู้ซื้อทั่วโลก และมีอัตราการเติบโตของตลาดในจีนมากถึง 90% ในปี 2562 เว็บไซต์แฟชั่น WWD รายงานว่า หลังสิ้นสุดมาตรการล็อกดาวน์สินค้าแบรนด์เนมกลับมาทำยอดข่ายถล่มทลายอีกครั้ง เช่น Hermes แบรนด์แฟชั่นหรูจากฝรั่งเศสที่เปิดสาขาในเมืองกวางโจว มณฑลกวางตุ้ง สามารถทำยอดขายได้ถึง 19 ล้านหยวน หรือราว 87.90 ล้านบาทภายในวันเดียว ซึ่งถือว่าเป็นยอดขายที่สูงที่สุดสำหรับร้านค้าร้านเดียวในจีน แม้จะมีการคาดการณ์ว่ายอดขายสินค้าหรูของโลกจะลดลงราว 25-30% ในช่วงไตรมาสแรกของปีนี้เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า และตลาดสินค้าหรูทั่วโลกจะสูญเสียรายได้ราว 65,000-75,000 ล้านเหรียญสหรัฐในปีนี้ โดยคาดว่าตลาดสินค้าหรูจะเริ่มฟื้นตัวในปี 2564 แต่สำหรับประเทศจีน ดูเหมือนตลาดสินค้าหรูจะฟื้นตัวก่อนใคร อย่างไรก็ตามพฤติกรรมของผู้บริโภคทุกวันนี้เปลี่ยนไปจากเดิมคือการมองหาแบรนด์หรือธุรกิจที่มีความรับผิดชอบต่อสังคมมากขึ้น การสนับสนุนแบรนด์เหล่านี้จะทำให้ผู้บริโภคเกิดความรู้สึกภาคภูมิใจว่ากำลังได้ทำสิ่งที่มีประโยชน์ต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม เช่น แบรนด์เครื่องประดับหรูของโลกที่ประสบความสำเร็จ อย่าง Tiffany&Co. ที่ตลอดห่วงโซ่การผลิตเครื่องประดับมีแหล่งที่มาของวัตุดิยที่รับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อมไม่ว่าจะเป็นแร่ทองคำ แพลตตินั่ม และอัญมณีต้างๆ นอกจากนี้ยังมีการระดมทุนช่วยเหลือสังคมหรือชุมชนอย่างชัดเจน ซึ่งการมีส่วนร่วมกับแบรนด์ของผู้บริโภคจะเพิ่มความสำคัญมากขึ้นนับจากนี้เป็นต้นไป