ในปีนี้ (2562) ราคาทองคำ (Gold Spot) กลับมาดีดตัวแรงมากที่สุดในรอบกว่า 6 ปี เฉพาะเดือนกันยายนที่ผ่านมานี้ ราคาทองคำขึ้นไประดับสูงสุดที่ 1,557 ดอลลาร์/ออนซ์ ซึ่งเพิ่มขึ้นไปกว่า 200 ดอลลาร์/ออนซ์ หรือราว 16% เมื่อเทียบกับช่วงต้นปี(Gold Spot อยู่ที่ระดับ 1,282.4 ดอลลาร์/ออนซ์) แม้จะขยับลดลงในเวลาต่อมาที่ 1,490-1,500 ดอลลาร์/ออนซ์ แม้ทองคำไทยจะขึ้นไม่มากเท่าราคาทองโลก ด้วยปัจจัยจากค่าเงินบาทแข็งแต่ก็ยังทำกำไรให้นักลงทุนได้ราว 10% หรือราว2,000 บาทต่อราคาทองหนัก 1 บาทจากต้นปี ซึ่งเมื่อดูการเคลื่อนไหวของราคาทองในประเทศสามารถแบ่งได้เป็น 2 ช่วงคือ ช่วง 5 เดือนแรกที่เจอเงินบาทแข็งค่า ทำให้ราคาทองไทยปรับขึ้นได้น้อยกว่าราคาทองโลก ส่วนช่วงที่สอง เป็นช่วงที่ราคาทองดีดแรงขึ้น ซึ่งเป็นผลมาจาก ประกาศลดดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ หรือ เฟด ส่งผลให้นักลงทุนทั่วโลกหันกลับมาลงทุน “ทองคำ” อีกครั้ง ทำให้ราคาทองโลกขึ้นไปแตะนิวไฮ ราคาทองไทยจึงขึ้นตามไปด้วย โดยสามารถขึ้นไปแตะระดับสูงสุดที่บาทละ 22,400 บาท เมื่อช่วงต้นเดือนกันยายนที่ผ่านมา ทั้งนี้ผู้ค้าทองยังมั่นใจว่าจากนี้ราคาทองคำก็ยังคงอยู่ในช่วงขาขึ้น แม้จะไม่รุนแรงเหมือนที่ผ่านมาก็ตาม นักวิเคาระห์ประเมินว่า ราคาทองคำน่าจะแตะที่ 1,600 ดอลลาร์ /ออนซ์ ด้วย 3 ปัจจัยหลักๆคือ • ความยืดเยื้อของสงครามการค้าระหว่างสหรัฐ-จีน ที่ยังไม่มีทีท่าว่าจะจบลงง่ายๆ และอาจจะมีความรุนแรงเพิ่มขึ้น ซึ่งจะเป็นต้นเหตุที่นำไปสู่สภาวะถดถอยทางเศรษฐกิจในอนาคตได้ • การกระตุ้นให้ธนาคารกลางทั่วโลกต้องใช้นโยบายผ่อนคลายต่างๆ อาทิ การใช้อัตราดอกเบี้ยนโยบายติดลบ ซึ่งตอนนี้ ญี่ปุ่นและยุโรป การทำQE กลับมาอีกครั้ง หลังจากที่เคยใช้ในช่วงสหรัฐเกิดวิกฤตซับไพร์ม ซึ่งตอนนั้นราคาทองคำโลกวิ่งทะยานไปสูงสุดที่ระดับ 1,920 ดอลลาร์/ออนซ์ • ธนาคารกลางของสหรัฐ (เฟด) ลดดอกเบี้ยมากกว่าที่ตลาดคาดการณ์ เป็นไปได้ว่า ราคาทองคำโลกน่าจะอยู่ระดับต่ำ 1,450 ดอลลาร์/ออนซ์ หรือเทียบราคาทองคำไทย คาดอยู่ที่ระดับ 20,500 บาท และการที่จะเห็นราคาทองไทย ลงมาอยู่ที่ระดับ 19,000 บาท น่าจะเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นยากแล้ว