อัญมณีและเครื่องประดับอยู่คู่กับมนุษย์มาอย่างยาวนาน ในสมัยอารยธรรมกรีกและโรมัน มีการใช้เครื่องประดับแทนเงินตราและการลงทุนหากำไร ในขณะที่ปัจจุบันมีการนำเครื่องประดับมาใช้ในหลายรูปแบบทั้งเพื่อสวมใส่และเพื่อการลงทุนเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจ จึงอาจกล่าวได้ว่าเครื่องประดับและของมีค่าเป็นสัญลักษณ์แห่งความมั่งคั่งจากอดีตจนถึงปัจจุบัน การลงทุนในอัญมณีและเครื่องประดับนั้นแตกต่างจากสินทรัพย์ทางการเงินอื่นๆ เพราะความสวยงามของแต่ละชิ้นงานสามารถสร้างความหลงใหลให้แก่ผู้พบเห็น ทั้งยังสร้างมูลค่าเพิ่มให้เกิดขึ้นด้วย โดยความคุ้มค่าที่เกิดขึ้นจากการลงทุน แบ่งออกเป็น 3 ประการ คือ 1. อัญมณีและโลหะมีค่า มีความเสถียรมากกว่า เมื่อเทียบกับมูลค่าของเงินตราที่มีความผันผวน ทองคำ เพชร หรือโลหะมีค่า ค่อนข้างมีเสถียรภาพในมูลค่ามากกว่า แม้ว่าการซื้อ-ขายทองคำที่นักลงทุนนิยม ราคาจะขึ้นลงตามปัจจัยที่เกี่ยวข้อง แต่ทองคำยังคงความน่าเชื่อถือมายาวนานยิ่งกว่าสกุลเงินตราของแต่ละประเทศ สำหรับเพชรและโลหะมีค่านั้นก็มีการกำหนดราคากลางที่ทั่วโลกสามารถใช้อ้างอิงเพื่อการลงทุนได้จากหลายองค์กรที่มี 2. การลงทุนในอัญมณีและเครื่องประดับ เป็นการลงทุนที่ปลอดภัยที่สุด ในสถานการณ์วิกฤตทางเศรษฐกิจพบว่า การเก็งกำไรในอสังหาริมทรัพย์หรือตลาดทุนมีความผันผวนสูงและแปรผันไปในทิศทางเดียวกันกับสภาพเศรษฐกิจ ข้อมูลจาก บริษัทให้บริการทางการเงินชี้ว่า สินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนสวนกระแสดีที่สุดในช่วงวิกฤต 3 อันดับแรก คือ กองทุน Hedge Fund พันธบัตรระยะยาวของสหรัฐฯ และทองคำ โดยให้ผลตอบแทน 25%, 18% และ 11% ตามลำดับ ไม่เพียงแต่ทองคำเท่านั้น การถือครองอัญมณีและสินทรัพย์มีค่าในระยะยาวก็จะมีมูลค่าเพิ่มขึ้นอย่างมั่นคงและมีเสถียรภาพมากกว่าสินทรัพย์อื่นเช่นกัน 3. อัญมณีและเครื่องประดับเป็นการลงทุนทางใจ เมื่อเราพูดถึงอัญมณีและเครื่องประดับ คนส่วนมากมักนึกถึงช่วงเวลาที่สำคัญ ความทรงจำดีๆ คนที่เรารัก หรือวันครบรอบเหตุการณ์ต่างๆ ซึ่งไม่มีสินทรัพย์อื่นสามารถทำได้อย่างอัญมณีและเครื่องประดับ เพราะนี่เป็นการลงทุนทางใจให้กับครอบครัว คำสัญญา ความสัมพันธ์ และสิ่งดีๆ ที่เกิดขึ้นในชีวิต การลงทุนในเครื่องประดับและอัญมณีจึงยังคงได้รับความสนใจจากนักลงทุนมาทุกยุคสมัยและไม่เคยตกจากกระแสแม้โลกจะเจอกับวิกฤติจากเศรษฐกิจก็ตาม